เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู Information and Communication Technology for Teachers

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

"มือถือโฮโลแกรม" IBM เทคโนโลยีแห่งอนาคต ฝันคลอดในปี2015


"มือถือโฮโลแกรม" IBM เทคโนโลยีแห่งอนาคต ฝันคลอดในปี2015
04:38 | ป้ายกำกับ: "มือถือโฮโลแกรม" IBM



IBM พยากรณ์ 5 เทคโนโลยีแห่งอนาคต เชื่อกันว่าอีก 5 ปี นับจากนี้ ได้แก่ แบตเตอรี่พลังงานอากาศ ระบบนำความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถพยากรณ์สภาพการจราจร เซ็นเซอร์ส่งข้อมูลสิ่งแวดล้อมจากโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพาเพื่อการวิ จัย และที่สำคัญคือโทรศัพท์มือถือที่สามารถฉายภาพจำลอง 3 มิติโฮโลแกรมลักษณะเดียวกับในภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สได้
การพยากรณ์ครั้งนี้ของไอบีเอ็มเกิดจากการรวบรวมข้อมูลของนักวิจัยมากกว่า 3,000 คนที่ไอบีเอ็มมีอยู่ โดยรายงานจากหนังสือพิมพ์บลูมเบิร์ก (Bloomberg) ย้ำว่า 5 เทคโนโลยีที่มีโอกาสเป็นจริงได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าคือสิ่งที่อธิบายวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของไอบีเอ็ม นั่นคือการอุทิศตัวเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ในโลกกลมๆใบนี้

โจเซฟีน เชง (Josephine Cheng) รองประธานสถาบันวิจัยอัลมาเดน (Almaden lab) ของ ไอบีเอ็ม ให้สัมภาษณ์ถึงความเชื่อของไอบีเอ็ม ที่ว่าโลกแห่งแบตเตอรีจะถูกพัฒนาจากการใช้ลิเธียมไอออนมาเป็นวัตถุดิบที่ให้ ความหนาแน่นในการจุพลังงานมากขึ้นแน่นอน เพื่อเพิ่มความประสิทธิภาพด้านอายุการใช้งานต่อเนื่องของแบตเตอรี

ที่น่าสนใจคือ ไอบีเอ็มเชื่อว่าแบตเตอรีในอนาคตจะสามารถชาร์จใหม่ได้โดยใช้เพียงอากาศที่อยู่รอบแบตเตอรี บางรายงานนั้นใช้คำว่า breathing batteries เพื่อให้เห็นภาพว่าจะเป็นแบตเตอรีที่สามารถหายใจได้

ในศูนย์วิจัย Almaden เทคโนโลยีแบตเตอรีเป็นหนึ่งในหลายงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไอบีเอ็มที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคอมพิวเตอร์ โดยรายงานชี้ว่า ทีมวิจัยไอบีเอ็มสามารถพัฒนาแบตเตอรีสำหรับรถไฟฟ้าที่สามารถแล่นต่อเนื่อง 500 ไมล์ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้งแล้ว จุดนี้ไอบีเอ็มเชื่อว่า แบตเตอรีในโลกอนาคตจะสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่าปัจจุบันถึง 10 เท่าตัว

นักวิเคราะห์แสดงความเห็นต่อรายการเทคโนโลยี ที่ไอบีเอ็มประกาศออกมา ว่าเป็นเรื่องที่ดีและมีคุณค่าต่อโลกทั้งในแง่ธุรกิจและคุณภาพชีวิต

ไอบีเอ็มระบุว่าปี 2009 ไอบีเอ็มได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นเงินมูลค่า 5,800 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 6.1% ของรายได้รวม โดยแม้ตัวเลขนี้เป็นสัดส่วนที่ลดลงจาก 10% ซึ่งไอบีเอ็มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1990 แต่ก็เป็นสัดส่วนที่มากกว่าคู่แข่งอย่างเอชพี (Hewlett-Packard) ซึ่งรายหลังนั้นเตรียมไว้เพียง 2.4% ในปีที่ผ่านมา

นี่ถือเป็นความคืบหน้าล่าสุดของไอบีเอ็ม นับจากเดือนพฤศจิกายนที่ไอบีเอ็มประกาศเปิดโครงการวิจัยร่วมในประเทศ สิงคโปร์ โดยไอบีเอ็มระบุว่าได้ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากสำนักงานสาธารณะ เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการในประเทศสิงคโปร์ เป้าหมายหลักของโครงการคือการเน้นพัฒนาเครือข่ายระบบเซ็นเซอร์เพื่อรูปแบบ การให้บริการสาธารณะแบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการพยากรณ์และจัดการระบบสาธารณะทั้งระบบน้ำ การขนส่ง และพลังงาน

รายงานระบุว่า ความร่วมมือกับรัฐบาลสิงคโปร์ของไอบีเอ็มจะให้ความสำคัญกับระบบวิเคราะห์ ที่สามารถเข้าใจการคำนวณทางวิทยาศาสตร์และพฤติกรรมในสังคม (จาก รูปแบบทางเศรษฐกิจและความต้องการของผู้บริโภค) ซึ่งมีผลต่อการควบคุมระบบน้ำ พลังงาน และการขนส่ง เหล่านี้ถือเป็นความท้าทายในการวิจัยเพื่อการแก้ปัญหา ซึ่งไอบีเอ็มจะทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีทั้งหมดต่อเนื่องใน 5 ปีนับจากนี้



แหล่งที่มา